วันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เว็บไซด์สำหรับการติดตามตัวเลขทางเศรษฐกิจและประชุมที่สำคัญ

เว็บเหล่านี้เป็นเว็บเพิ่มเติมสำหรับการติดตามเหตุการณ์สำคัญๆทางเศรษฐกิจ
เพราะบางเหตุการณ์นั้นมักจะมีคนเข้ามาเก็งกำไรในตลาดหุ้น
คือซื้อหุ้นตุนเอาไว้เพื่อรอลุ้นข่าวดีที่จะเกิดขึ้น
เราก็สามารถซื้อหุ้นดักพวกเก็งกำไรได้อีกที แล้วขายก่อนประกาศผล
แต่วิธีนี้ก็ไม่เสถียรเสมอไปเพราะบางครั้งก็หุ้นก็ไม่ขึ้นเสมอไป
อาจขึ้นอยู่กับปัจจัยข่าวอื่นๆ หรือกระทั่งคนเบื่อที่จะเก็งกำไรเรื่องเดิมซ้ำๆก็เป็นไปได้

นอกจากนี้ บางเหตุการณ์มีคนเคยอธิบายไว้เป็นภาษาไทย
ถ้าแปลภาษาอังกฤษจากgoogle translate แล้วยังงงๆก็ลองหาดูได้ค่ะ

http://www.worldeconomiccalendar.com/
คือ เว็บที่มีตารางตัวเลขทางเศรษฐกิจล่วงหน้าหลายๆเดือน
พร้อมทั้งมีคำอธิบายท้ายตัวเลขว่าตัวเลขนั้นมีความหมายหมายอะไร
(กดตรงเครื่องหมาย + ท้ายบรรทัดเพื่อขยายคำอธิบาย)
มีการratingความสำคัญของตัวเลข/เหตุการณ์ ตลอดจนบอกประเทศที่ประกาศ
โดยเวลาในเว็บนี้เป็นเวลาตามประเทศสหรัฐอเมริกาค่ะ
แต่ไม่ครบถ้วนเหมือนเว็บที่มีเฉพาะการประกาศตัวเลขของสหรัฐแต่อย่างใด

http://www.federalreserve.gov/whatsnext.htm
เว็บที่มีการประชุมของเฟด หรือธนาคารกลางของสหรัฐ
ซึ่งจะมีรายการอัพเดทให้ล่วงหน้าประมาณ 1-2 เดือนค่ะ
และมีผลต่อตลาดหุ้นของสหรัฐอเมริกามากที่สุด

http://www.ecb.int/events/calendar/mgcgc/html/index.en.html
เป็นเว็บที่มีการประชุม ECB หรือธนาคารกลางจากยุโรป
โดยส่วนใหญ่ควรเกี่ยวข้องการการใช้หนี้ของเหล่าประเทศใน
PIIGs  ถึงจะมีความสำคัญและกระทบมาถึงตลาดหุ้นของอเมริกาได้ค่ะ

และถ้าใครมีเว็บไหนดีๆอยากจะแชร์ก็สามารถร่วมกันแบ่งปันได้ค่ะ
สามารถโพสต์ผ่านทางกล่องแสดงความเห็นด้านล่างได้เลย

และสำหรับคนที่เข้าบล็อกแห่งนี้เป็นครั้งแรก
สามารถเยี่ยมชมบทความเกี่ยวกับตลาดหุ้นอเมริกา
ได้โดยการกดดูจากบทความที่ผ่านมาทางด้านขวาเลยค่ะ

วันเสาร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ปัจจัยที่กระทบกับราคาหุ้นในระยะยาว

บทความก่อนก็เขียนเกี่ยวกับปัจจัยที่กระทบกับราคาหุ้นในระยะสั้นๆไปแล้ว  คราวนี้มาว่ากันตรงระยะยาวกันบ้าง  นักลงทุนระยะยาวนั่นเชื่อกันว่าแม้ว่าจะมีปัจจัยที่กระทบต่อราคาหุ้นในระยะเวลาสั้นๆ แต่ในระยาวแล้ว  ราคาหุ้นจะวิ่งไปหาปัจจัยพื้นฐานของมันเสมอ  ดังนั้นจึงมีการศึกษาถึงรายละเอียดภายในของบริษัทกันค่ะ

วันนี้เอาข้อมูลพื้นฐานของหุ้นชั้นนำอย่างแอปเปิ้ลมาฝากกัน  ใครที่เป็นสาวกน้องผลไม้อย่าพลาดทีเดียวค่ะ

APPLE

แอปเปิ้ลเป็นบริษัทชั้นนำในการขายอุปกรณ์อิเล็คทรอนิคส์และคอมพิวพเตอร์ส่วนบุคคล  โดยบริษัทนั้นตั้งอยู่ที่แคลลิฟอร์เนียร์ ประเทศสหรัฐอเมริกา  โดยช่วงหลังมานี่บริษัทโฟกัสไปที่การผลิตไอโฟน ไอแพด  และไอพอด  นอกจากนี้ยังมีสินค้าที่ไม่ใช่อุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์อีก ได้แก่ iCloud, IOS, MacOS และ Apple TV โดยบริษัทขายสินค้าเหล่านี้ผ่านทางร้านค้าอย่าง iTunes Store, App Store, iBook Store และ Mac App Store

บริษัทมีออฟฟิซอยู่ที่แคลิฟอร์เนียร์ก็จริง  แต่มีร้านค้าอยู่ทั่วโลกซึ่งมีจำนวนมากกว่า 300 แห่งในปี 2012 นี่ค่ะ

ด้านยอดขาย
หากดูตามภูมิศาสตร์แล้ว ในปี 2011 หรือ 2554 แอปเปิ้ลมียอดขายกว่า 39%มาจากในตัวสหรัฐอเมริกาเอง ในขณะที่ในยุโรปมียอดขาย 25% และที่ญี่ปุ่นมียอดขายเพียง 4% ขณะเอเชียแปซิฟิค 12% คราวนี้ถ้ามีข่าวลบกับยุโรป  พอจะเข้าใจไหมคะว่าทำไมหุ้นแอปเปิ้ลถึงลงไปเยอะแยะอย่างนั้น

ส่วนผลิตภัณฑ์นั้นเรามาดูกันบ้างดีกว่าว่ามียอดขายอะไรบ้าง
ในปี 2011เช่นเดียวกัน ยอดขายจากMac นั่นคิดเป็นสัดส่วน 19%  ส่วน iPod เริ่มทยอยลดความสำคัญลงเรื่อยๆโดยเลือกแค่ 6% จาก 12%ในปีก่อน  ในขณะที่ iPhone และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องมี 43%  ส่วน iPadและผลิตภัณฑ์ควบมี 18% อย่างเพิ่งคิดว่าน้อยค่ะ เพราะปีที่แล้วนั้นยอดขายของไอแพดคิดเป็น 7% ของยอดขายสินค้าอื่นๆเท่านั้นเอง  นอกจากนี้ฮาร์ดแวร์และผลิตภัณฑ์อื่นๆมีแค่ 2% เท่านั้น ขณะที่ตัว Software ของแอปเปิ้ลทำรายได้เพียง 2% ค่ะ เพราะส่วนใหญ่ก็ใส่ให้ฟรีในผลิตภัณฑ์ของแอปเปิ้ลนั่นเอง  และไม่ได้มีรายได้จากโฆษณาสักเท่าไหร่

นอกไปจากนี้ยอดขายของไอโฟนเพิ่มปีละเกือบ 100%ติดกันมาสามปีแล้ว  ส่วนไอแพดนั้นเพิ่งขายปีที่แล้วเป็นปีแรกดังนั้นยอดขายจึงเพิ่มกว่า 3 เท่าค่ะ  เอาล่ะๆ ไม่ต้องบอกก็สรุปกันได้แล้วใช่ไหมว่าข่าวที่เกี่ยวกับไอโฟนกับไอแพดจะส่งผลกับราคาหุ้นแอปเปิ้บแบบสุดๆไปเลย

เอาล่ะใครอยากจะชมงบการเงินย่อๆ ก็มาดูกันได้ค่ะ
แปลให้ 2 ตัวเท่านั้น Revenue แปลว่ารายได้ net income แปลว่ากำไรสุทธิค่า

ส่วนอัตรากำไรขั้นต้น(กำไรหลังหักต้นทุนการผลิต)ของแอปเปิ้ลนั่นอยู่ที่ 40% โดยประมาณ และค่อนข้างคงที่มาหลายปีแล้ว  ส่วนค่าใช้จ่ายด้านการขายและการตลาดอยู่ที่ 7% ถือว่าน้อยมากๆค่ะ กำไรสุทธิต่อยอดขายนั้นมีอัตรา 24% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนๆจาก 19% -21% เพราะมีประสิทธิภาพทั้งทางการตลาดและการรักษากำไรที่ดีขนาดนี้  อย่าแปลกใจที่แอปเปิ้ลเป็นขวัญใจใครหลายคน


(หมายเหตุ อะไรก็เกิดขึ้นได้ในระยะเวลาอันสั้นค่ะ ไม่แน่ว่าหุ้นแอปเปิ้ลอาจตกหนักในเวลาไม่นานนี้ก็ได้ การวิเคราะห์นี้เป็นส่วนหนึ่งในการทำความเข้าใจ และเพื่อการอ่านข่าวให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นค่ะ)

ทีนี้เรามาดูคู่แข่งของแอปเปิ้ลกันบ้าง

ถ้าเรามีข้อสมมติฐานในขั้นต้นว่าสินค้าหลักๆที่ทำรายได้ในแอปเปิ้ลคือไอโฟนและไอแพด คู่แข่งหลักก็คือซัมซุงที่พยายามจะตีตลาดแอปเปิ้ลในขณะนี้  โดยอย่าลืมว่าโอเปอเรชั่นที่อยู่ในมือถือข่ายอื่นๆที่ไม่ใช่แอปเปิ้ลนั้นก็คือ Andriod ของ google นั่นเอง  ส่วนแมคหรือคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลนั้นก็มีหลายค่ายทีเดียวแต่โอเปอเรชั่นด้านไหนจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก Microsorft นั่นเอง  เอาล่ะค่ะ พอจะเห็นความสัมพันธ์ของเจ้าพวกบริษัทยักษ์ใหญ่กันบ้างแล้ว

ไหนๆก็ไหนๆ แถมReview บริษัทgoogle อีกสักแห่งก็แล้วกัน

Google

นอกจากจะเป็นSearch engineที่ประสบความสำเร็จแล้ว googleยังมีผลิตภัณฑ์อีกหลายตัวที่น่าสนใจและโด่งดังอยู่ในตลาด  ได้แก่ Gmail, Google Map,Google Chrome,Adword programeที่เอาไว้ให้ธุรกิจโปรโมตธุรกิจตัวเอง Adsenseที่อนุญาตให้Third parties ภายในGoogle Networkสร้างรายได้จากโฆษณาที่เกี่ยวข้องได้ เช่น การให้เว็บไซด์หรือบล็อกเอาโฆษณาจากกูเกิ้ลไปวางไว้และให้เงินจากจำนวนคลิกที่มีคนเข้าไปคลิกอีกทีค่ะ  โดยกูเกิ้ลทำตัวเป็นพ่อค้าคนกลางรับรายได้จากบริษัทห้างร้านนั่นอีกที

กูเกิ้ลมีสำนักงานใหญ่ที่แคลิฟอร์เนีย เบลเยี่ยม ฟินแลนด์ และวางแผนว่าจะไปเปิดdata centreที่สิงคโปร์ ไต้หวัน และฮ่องกงในปีหน้าด้วย

รายได้หลักๆของกูเกิ้ลนั้นมาจากการหาโฆษณาล้วนๆ ไม่เหมือนแอปเปิ้ลแต่อย่างใด แต่ส่วนที่ทำรายได้ให้กูเกิ้ลคิดเป็น 67% ก็มาจากเว็บกูเกิ้ลนั่นเอง และที่เหลืออีก 30%มาจากการทำตัวเป็นพ่อค้าคนกลางนั่นเองค่ะ เอาโฆษณาไปวางไว้กับพวกblog และเว็บไซด์ที่มาสมัครกับกูเกิ้ลกัน  ส่วนนอกจากนั้นที่เหลืออีก 3%ก็เป็นรายได้อื่นๆนั่นเอง

อ่าว อ่านมาตรงนี้ก็คงสงสัยว่าไหนล่ะเจ้าแอนดรอย ทำรายได้อะไรบ้างหรือเปล่า คำตอบคือ ถ้าสังเกตกันดีๆ จะมีโฆษณาอยู่เวลาดาวน์โหลดโปรแกรมจากแอนดรอยค่ะ  แต่เป็นรายได้อันน้อยนิดเท่านั้นเอง

นอกจากนี้หากมาดูผ่านทางภูมิศาสตร์แล้วรายได้ค่าโฆษราของกูเกิ้ลมาจากสหรัฐถึง 47% และมาจาก UK 13% ส่วนที่เหลืออีก 40%มาจากทั่วทั้งโลก  สงสัยไหมๆว่าทำไมมาจากอังกฤษมากมายขนาดนี้  เพราะว่าหลักๆแล้วโฆษณามาจากคนที่ใช้ภาษาอังกฤษกันเป็นหลักค่ะ เวลาสมัครadsense ก็ต้องสมัครเป็นภาษาอังกฤษด้วยนั่นเอง

และที่จะขาดไม่ได้ก็คือ งบการเงินค่ะ ด้วยความยาวของหน้านี้คงไม่สามารถอธิบายได้หมดว่าอะไรเป็นอะไร  แต่เอางบมาให้ชมกันค่ะว่ารายได้ของเขานั้นเติบโตกันเพียงใด

อัตรากำไรสุทธิของกูเกิ้ลนั่นอาจเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้หุ้นไม่ได้เป็นขาขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบแอปเปิ้ลก็ได้ โดยดูไล่มาเราจะเห็นว่าอัตรากำไรสุทธิต่อยอดขายนั้นขึ้นๆลงๆทีเดียวค่ะ

                          2011    2010    2009    2008
 อัตรากำไรสุทธิ     25.5%   29%    28%   20%

คงพอเห็นตัวอย่างการดูข้อมูลบริษัทไปไม่มากก็น้อยนะคะ

ขอบคุณข้อมูลจาก SEC และ Nasdaq ของอเมริกาค่ะ

ปัจจัยที่กระทบต่อราคาหุ้นในช่วงเวลาสั้นๆ

บทความนี้เอามาจากหนังสือของนักเขียนนิตยสารชื่อดังของ USA Today ค่ะ  ชื่อหนังสือนั้นแค่ฟังก็น่าสนใจสำหรับพวกเราๆชาวเน็ตแล้วค่ะ Investing Online For Dummies by Matt Krantz

เอาล่ะไม่อารัมภบทนานเหมือนเดิม  มาเข้าเรื่องกันเลยว่าอะไรที่กระทบต่อราคาหุ้นในช่วงสั้นๆกันบ้าง

1.เคลื่อนไหวตามตลาดหุ้นทั้งตลาด  วันนี้ถ้าตลาดขึ้นหุ้นก็ขึ้น ถ้าตลาดลงหุ้นตัวนั้นก็ลงตามค่ะ  ติดตามได้จากการประกาศตัวเลขทางเศรษฐกิจ ตลอดจนข่าวที่กระทบเศรษฐกิจทั่วโลกเช่น เศรษฐกิจจากยุโรปและจีน

2.Earning Report หรือรายงานประกาศผลกำไร โดยเฉพาะที่อเมริกานั้นเขาว่ากันว่ามักจะปันผลในช่วงเดือนกรกฎาคมด้วยค่ะ  โดยจะประกาศกันทุกๆไตรมาศ ปีหนึ่งๆมี 4 ไตรมาศ ไตรมาศละ 3 เดือน ลองนับกันให้ดีนะจ่ะว่าใกล้หรือยัง

3.Industry Development อะไรก็ตามที่เกิดกับอุตสาหกรรมนั้นมักจะส่งผลกับหุ้นตัวที่เรากำลังมองอยู่  เช่น ถ้าคู่แข่งของเขาออกสินค้าอะไรใหม่ บริษัทที่เราถือหุ้นก็มีปัญหาได้ค่ะเพราะมีการแย่งรายได้ไป  ก็ราคาหุ้นขึ้นอยู่กับความคาดหวังว่ากำไรของบริษัทจะมากหรือจะน้อยนั่นเอง

4.Management Change ในระดับบนๆของบริษัทนั้น ใครจะถุกจ้าง ใครจะถูกไล่ออกก็เป็นสัญญาณทางธุรกิจได้เช่นกัน  ถ้าเราไม่ทราบว่าหุ้นจะไปทิศไหนก็ดูสักญญาก่อนหน้าประกอบได้ เพราะก่อนข่าวจะประกาศก็มักมีวงในทราบก่อนอยู่แล้ว

5.Raw Materials การเปลี่ยนแปลงราคาของวัตถุดิบมีความสำคัญอย่างมากกับบริษัทเพราะส่วนใหญ่บริษัทจะมีสต็อกสินค้าอยู่แล้ว  การที่ราคาสินค้าลดหรือเพิ่มนั้นจะส่งผลต่อกำไรของบริษัทไม่มากก็น้อยค่ะ เช่น บริษัทน้ำมันก็จะมีลักษณะกราฟใกล้เคียงกับราคาวัตถุดิบ เช่น XOM exxon mobile กราฟจะเลียนแบบกับน้ำมัน , ในหนังสือยังยกตัวอย่าง Sbux หรือสตาร์บัคกับราคากาแฟค่ะ 

เอาล่ะๆเอาเว็บไว้ดูราคาสินค้ากันเลยค่ะ
http://www.cmegroup.com/trading/agricultural/

6.Trading Momentum หรือจังหวะการเทรด  อธิบายสั้นๆว่าต่อให้ตลาดหุ้นลง  แต่ถ้าหุ้นจะไปใครจะไปฉุดอยู่

7.Merger Chatter  เมื่อบริษัทจะแต่งงานกัน  ตลาดก็มักจะเคลื่อนไหวขึ้นเสมอค่ะ  ส่วนที่ควบรวมกันแล้วใครจะไปต่อหรือใครจะตกนั้น  ก็ขึ้นอยู่กับว่าบริษัทไหนได้ประโยชน์มากกว่ากัน  ซึ่งตรงนี้ก็ต้องอาศัยการพิจารณาให้ดีๆ  แต่แนะนำว่าขายก่อนควบรวมก็จะปลอดภัยที่สุดค่ะ

8.Bond Yeild อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาล  เนื่องจากตลาดอเมริกาเฟื่องฟูด้านการจัดสรรเงินลงทุนมาก ดังนั้นเขาจะพิจารณาอยู่เสมอๆว่าการเล่นหุ้นได้คุ้มเสียไหม หากอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรสูงกว่า  เขาก็จะย้ายเงินไปทันที  จึงต้องติดตามกันให้ดีและดูอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของเฟดกันต่อไป

9.Legal insider buying or selling ทำไมเขาถึงเน้นคำว่าพวกวงในที่ถูกกฎมายก็ไม่ทราบ  แต่เอาเป็นว่าเชือได้  และหากช่วงไหนผู้บริหารขายกันมากๆ หุ้นก็มักอ่อนแอกันให้เห็นจริงๆ แล้วถ้ามีการขายใกล้ช่วงประกาศผลกำไรกันเล่า มันแปลว่าอะไร?

สุดท้ายแล้ว  การดูเพียงข้อใดข้อหนึ่งไม่อาจบอกได้อย่างชัดเจนว่าหุ้นตัวนั้นจะขึ้นหรือจะลง  หากดูประกอบกันหลายๆข้อ ก็จะช่วยให้เข้าใจและเดาทางหุ้นได้ยิ่งๆขึ้นไปค่ะ

Trend ที่ต้องจับตามองหากอยากเป็นเศรษฐีหุ้น

บทความนี้เป็นบทความแรก สำหรับบล็อคsmall tacticsค่ะ
ตั้งใจว่าจะนำบทความสำหรับการเล่นหุ้นมาให้อ่านกันเรื่อยๆเท่าที่มีเวลาค่ะ
เอ้าไม่เกริ่นกันนานมาอ่านกันเลยดีกว่า

หากอยากเป็นนักลงทุนแล้ว สิ่งที่จำเป็นต้องรู้ก่อนคนอื่นก็คือการเตรียมตัวให้พร้อม
สำหรับโอกาสครั้งใหญ่ๆในชีวิต   โดยว่ากันว่าในช่วงที่เศรษฐกิจของโลกดิ่งดำเหว
คนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือคนจนและคนชนชั้นกลาง
ในขณะที่เศรษฐีที่เตรียมพร้อมกลับยิ่งรวยขึ้นไปอีก  ดังนั้นหากอยากรวย
สิ่งที่ต้องจับตามองเพื่อรอโอกาสนั้นก็ได้แก่ เทรนด์ดังต่อไปนี้ค่ะ
โดยเทรนด์เหล่านี้นำมาจากนักเขียนพ่อรวยสอนลูก โรเบิร์ต คิโยซากิ

1.ลักษณะประชากร
ในศตวรรษที่ 19 นักปรัชญาฝรั่งเศสพูดไว้ว่า "เหตุผลที่ผมกระหายอยากลงทุนใน
อสังหาริมทรัพย์ของประเทศสหรัฐอเมริกา  ถึงแม้ว่ามันจะมีทั้งช่วงขาขึ้นและขาลง
ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ก็เพราะสหรัฐฯมีจำนวนประชากรที่กำลังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ"
    และไม่เพียงแต่แนวโน้มประชากรที่เพิ่มขึ้นเท่านั้นที่เราต้องใส่ใจ 
แต่ยังมีลักษณะการอยู่อาศัยของคนในปัจจุบันที่อยู่คนเดียวมากขึ้น 
มีบ้านหลายหลังมากขึ้น(ในรูปของคอนโด)
และมีคนชรามากขึ้น  อสังหาริมทรัพย์จึงเปลี่ยนแปลงไปด้วย
  ในหนังสือมองว่าปี 2025 อสังหาริมทรัพย์ในสรัฐยังมีโอกาสโตได้อีก
เพราะจำนวนประชากรยังโตขึ้นเรื่อยๆ เอ้า จะเป็นอย่างไรมาติดตามกันค่ะ

2.หนี้
  เนื่องจากเงินสหรัฐไม่มีทองคำหนุนหลังตั้งแต่ประธานาธิบดีนิสักประกาศยกเลิกระบบทองคำ  แต่พันธบัตรของสหรัฐอเมริกามีสภาพเป็นหนี้  หนี้ที่เป็นสินทรัพย์ที่ถูกต้องตามกฎหมายของรัฐบาลสหรัฐ  โดยหนี้ที่ต้องจับตามองนั้นได้แก่สัดส่วนหนี้สินต่อครัวเรือนที่คิดเป็น % เมื่อเทียบกับ GDP โดยเขาเขียนหนังสือเล่มนี้ราวๆปี 2003-2005 แต่โรเบิร์ตกลับพยากรณ์ได้อย่างแม่นยำ ว่าถ้ามีปัญหาด้านหนี้  สหรัฐก็แค่พิมพ์เงินให้มากขึ้นสิ  โดยเมื่อเงินเฟ้อมากๆจากการพิมพ์เงินคนที่เป็นหนี้จะชนะ ส่วนผู้ออมจะแพ้(เพราะเงินจะด้อยค่าลง)  ในทางตรงกันข้าม  หากเงินฝืด  ราคาสินทรัพย์จะตกลงฮวบฮาบ  เช่นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศอาเจนตินาร์ค่ะ
ส่วนประกอบหนี้ของสหรัฐคิดเป็นสัดส่วนของGDP จากวีกิพีเดียen
ดูภาพขนาดใหญ๋

จากภาพจะเห็นว่าหนี้สหรัฐพุ่งสูงขึ้นทุกปีๆ และทำพีคในปี 2008 ซึ่งเป็นปีที่เกิดวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ค่ะ
โดยหนี้นั้นเกิดมาจากการใช้จ่ายของประชาชนสหรัฐ  การขาดดุลการค้า และการใช้จ่ายของรัฐบาลที่นำเงินไปจ่ายค่าสวัสดิการต่างๆให้ประชาชนแบบเกินตัว  จึงทำให้หนี้พอกพูนกันทุกปี และเกิดปัญหาดังกล่าวในที่สุด

3.อัตราดอกเบี้ย
หัวข้อนี้แทบไม่ต้องอธิบายถึงความสำคัญเลยทีเดียว  เพราะหากดอกเบี้ยสูงนั้นจะทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงจากการที่ธุรกิจไม่อยากยืมเงินมาลงทุนขยายกิจการ เพราะว่าแค่เอาเงินไปฝากธนาคารก็สบายแทบไม่ต้องทำอะไรแล้ว แถมดอกเบี้ยที่สูงนั้นทำให้ต้นทุนทางธรุกิจสูงตาม  กำไรที่ได้ก็ต้องแบ่งไปคืนเจ้าหนี้กันหมดอยู่เฉยๆสบายกว่าค่ะ  การขึ้นอัตราดอกเบี้ยจึงนิยมทำในช่วงที่เศรษฐกิจร้อนแรงเกินไปนั่นเอง

ช่วงนี้ดอกเบี้ยต่ำติดดิน  เนื่องจากรัฐบาลทั่วโลกกำลังกระตุ้นเศรษฐกิจ  ทั้งนี้และทั้งนั้น  เวลารัฐบาลประเทศไหนลดดอกเบี้ยมากๆ แปลว่าเศรษฐกิจร่อแร่เต็มที่  เวลามีประกาศลดดอกเบี้ยจึงส่งผลลบต่อตลาดหุ้นได้ค่ะ  และการที่ดอกเบียต่ำๆนั้น  คนจะไม่อยากฝากเงินในธนาคาร ไม่อยากซื้อพันธบัตร
แต่จะเอาเงินมาลงทุนทำธุรกิจ และเล่นหุ้นกันแทน  แหมเท่านี้ก็คงพอเกิดภาพในใจนักเล่นหุ้น
ว่าทำไมอัตราดอกเบียถึงกระเทือนกับตลาดหุ้นกันนักหนากันแล้ว

4.นำหน้าหรือล้าสมัย
ข้อนี้จะเอามาตีโจทย์ได้ว่า หุ้นที่คุณกำลังเลือกเล่นนั้นจะมีโอกาสขึ้นเป็นกระทิงได้  หรือแค่ขึ้นสั้นๆเท่านั้น  ยกตัวอย่างเช่น หากคนเกิดในยุคเบเบี้บูมเมอร์(เกิดหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือราว 1950s) กำลังจะเข้าสู่วัยเกษียณ  และในความเป็นจริงคือคนกลุ่มนั้นเงินจากการลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจะไม่พอใช้  ความต้องการศึกษาด้านการเงินมีแต่จะเพิ่มขึ้นในไม่ช้า เขาจึงหยิบจับทำธุรกิจให้คำปรึกษาด้านการเงินขึ้นมาค่ะ  ในหนังสือยังวิจารณ์ด้วยว่าธุรกิจที่อิ่มตัวแล้ว ได้แก่ ธุรกิจยานตร์และการบิน เป็นต้น
ใครถือหุ้นตัวไหนแล้วมองเทรนด์ให้ดีๆค่ะ หุ้นจะขึ้นหรือจะไซด์เวย์ก็วัดกันตรงนี้ล่ะ