การประกาศตัวเลขสำคัญๆ มักจะมีผลต่อตลาดอย่างน้อยครึ่งวัน ดังนั้นเพื่อให้สามารถตัดสินเข้าซื้อได้ถูกจังหวะ ผู้เขียนเองก็อยากทบทวนไปด้วย จึงได้รวบรวมความหมายและความสำคัญของตัวเลขเหล่านี้มาไว้ในบล็อกอีกครั้งแบบละเอียดค่ะ และหากรู้สึกว่ามากเกินกว่าจะจำได้ เทคนิคที่สำคัญที่สุดคือดูระดับสีของตัวเลขว่าเป็นสีส้มหรือสีแดงหรือเปล่า หากเป็นสองสีนี้ ถือว่าสำคัญ และละเลยไปไม่ได้เลย
โดยเอกสารที่นำมาอ้างอิงเป็นหลักมาจากหนังสือ Trade like a Pro โดย Noble Drakoln ที่เขียนมาอย่างเร็วที่สุดคือปี 2005 ซึ่งน่าเชื่อได้ว่าก็น่าจะใช้ไปได้อีกนาน และควรค่าที่จะอ่านเก็บไว้ค่ะ
1.การประชุมของ FOMC(Federal open Market committee) ที่ใช้ในการตัดสินใจเรื่องนโยบายทางการเงินของประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นการตัดสินใจของคณะกรรมการ 7-12 คนของเฟด โดยการประชุมเกิดขึ้นปีละ 8 ครั้งเพื่อตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย และการซื้อพันธบัตร เป็นต้น
2.Consumer Price Index(CPI) ดัชนีราคาผู้บริโภค
เป็นหนึ่งในตัวเลขที่สามารถบอกสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกาได้
โดยวีกิพีเดียได้ให้ความหมายว่าหมายถึง ตัวเลขทางสถิติที่ใช้วัดการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าและบริการที่ครอบครัวหรือผู้บริโภคซื้อหามาบริโภคเป็นประจำ
ในปัจจุบันเปรียบเทียบกับราคาในปีที่กำหนดไว้เป็นปีฐาน หรือเป็นการตัวบอกอัตราเงินเฟ้อนั่นเอง ตัวเลขที่ออกมาจะส่งผลให้ FOMC
ต้องตัดสินใจว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไปด้วยนโยบายทางการเงิน (ถ้าอ่านแล้วรู้สึกไม่เข้าใจ
เพียงตรวจสอบว่าตัวเลขออกมาเป็นสีเขียวหรือสีแดงก็เพียงพอแล้ว สีแดงคือไม่ดี และสีเขียวคือดี)
3.Consumer Confidence Index(CCI) ดัชนีความมั่นใจของผู้บริโภค
เดือนละครั้งที่จะมีการประกาศตัวเลขนี้ออกมา
ตัวเลขนี้จะบอกธนาคารกลางได้ว่าผู้บริโภคกำลังรู้สึกกลัวหรือมั่นใจกับเศรษฐกิจ โดยการสำรวจทำขึ้นจากจำนวนประชากรกว่า 5000
ครัวเรือน จุดประสงค์เพื่อช่วยตัดสินใจด้านสุขภาพทางการเงินและความสามารถในการจับจ่ายใช้สอยของชาวอเมริกัน
4.Jobless Claims Report รายงานการขอรับสวัสดิการผู้ว่างงาน
ทุกๆวันพฤหัสสบดีเวลา 8.30 am ตามเวลาในสหรัฐ(หรือก่อนตลาดเปิด 1 ชั่วโมง) ตัวเลขจะมีการประกาศออกมา ตัวเลขนี้แสดงความหมายถึงภาวการณ์ว่างงานโดยทั่วประเทศ
ซึ่งมักมีความเปลี่ยนแปลงได้ง่าย(ผันผวน) ตัวเลขจะมีการรายงานทุกๆสัปดาห์
แต่ตัวเลขที่น่าจับตามองมากที่สุดคือตัวเลขรายเดือน
5.Producer Price Index(PPI) ดัชนีราคาผู้ผลิต
มักจะออกมาทุกวันที่ 13 ของทุกเดือน เป็นตัวเลขชี้วัดระดับราคาที่ผู้ค้าปลีกและผู้ผลิตของเดือนก่อน
ยังสามารถบอการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของภาวะเงินเฟ้อหรือเงินตึงตัวจากด้านผู้ผลิต โดยภายใน PPI มาจากตัวเลขน้ำมัน สินค้าสำเร็จรูปและอยู่ระหว่างการผลิต รวมทั้งอาหาร
6.Gross Domestic Product :GDP
ใช้ในการตัดสินใจว่าเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างไร
ตัวเลขที่แข็งแรงมักจะมีผลให้ตลาดหุ้นพุ่งทะยานขึ้น
เชื่อกันว่าตัวเลขนีดีพีจะสามารถทำให้ตลาดหุ้นในอีก 4 เดือนข้างหน้าเป็นขาขึ้นหรือขาลงได้โดยการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยยะสำคัญ
7.ดัชนีโดยทั่วๆไป
ได้แก่ Export ,Import หรือตัวเลขส่งออกหรือนำเข้า, ตัวเลขcrude inventoryหรือปริมาณสำรองน้ำมัน, เป็นต้น
คราวต่อไปคิดว่าจะย่อยหนังสือเล่มนี้เอามาลงอีกเป็นส่วนๆไปค่ะ ^^