หมายเหตุ : เรียบเรียงจากบทความ 2
บทความก่อนหน้าที่นำมาลงไว้ค่ะ ผู้เรียบเรียงนำข้อมูลดังกล่าวมาประกอบการตัดสินใจ โดยก่อนตัดสินใจลงทุนจะหาข้อมูลเพิ่มเติมทุกครั้งและไม่สามารถรับผิดชอบต่อความผิดพลาดที่เกิดจากการนำข้อมูลไปใช้ในการลงทุนได้ เจ้าของบทความฉบับภาษาอังกฤษแนะนำให้ซื้อตัวหุ้นหรือกองทุนไม่ใช่การแนะนำให้ลงทุนในออปชั่น โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านและคำนวณถึงค่าTimeที่ท่านจะสูญเสียจากการถือระยะยาวอย่างรอบคอบค่ะ
เรื่องน่าตกใจที่ 1 ประธานาธิบดีคนต่อไปคือ
มิท รอมนีย์(Mitt Romney)
รอมนีดูจะเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวเพราะได้รับการสนับสนุนด้านเงินทุน ไม่เหมือน จอน แมคแคน ที่ใช้งบหาเสียง
360 ล้านขณะที่โอบาม่าใช้เงินกว่า 760ล้านเหรียญ
หรือมากกว่าสองเท่าของแมคเคน รอบนี้เราคาดว่ารอมนีคงจะใช้เงินหาเสียงหลักพันล้าน
ขณะที่โอบาม่านั้นมีปัญหาในการหาเงินซะแล้ว
เนื่องจากเหตุผลหลายประการ หนึ่งในนั้นคืออัตราว่างงานและบ้านกลายเป็นหายนะที่ทำลายความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ประเทศถูกลดอันดับความเชื่อถือจาก AAA
แผนสำหรับพอร์ต
รอมนีน่าจะยกเลิกแผนสุขภาพ และสนับสนุนฝ่ายทุนเสรี
เรื่องน่าตกใจที่ 2 IPO เฟซบุ๊คตกไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ
เหตุผลเพราะ
-
ความภักดีที่มีต่อแบรนด์เฟซบุ๊คตกลง เนื่องจากการที่ต้องปกป้องความเป็นส่วนตัว กว่า 40%ของบัญชีเฟซบุ๊คจึง
คาดว่าถูกสร้างมาจากสแปม
ลองคิดว่ารายได้ที่จะเกิดจากบัญชีคนเปิดเฟซบุ๊คตัวจริงที่แท้แล้วจะน้อยกว่าที่คาดไว้สักเท่าใด
-
มีกำแพงกั้นไม่ให้คู่แข่งเข้ามาทำธุรกิจสู้FBได้ง่ายๆจริงหรือ แค่เพียงเดือนเดียวหลังการเสนอขายหุ้นให้ประชาชนครั้งแรก(IPO) ซัคเคอเบิร์คต้องจ่ายเงิน
1พันล้านเหรียญให้บริษัทอินสตราแกรม
ที่มีอายุเพียง 18 เดือนและมีพนักงานแค่ 11 คน โดยบริษัทนี้ทำแอปพลิเคชั่นสำหรับการแชร์รูปภาพ และแม้ว่าวิศวกรของเฟซบุ๊คจะพยายามจะสร้างโปรแกรมที่เลียนแบบออกมาเพื่อแข่งแล้ว แต่ผู้ใช้อินสตาแกรมมีผู้ใช้มากว่า 30 ล้านเสียแล้ว และเดาได้ว่าจะมีบริษัทอีกมากที่จะออกมาให้เฟซบุ๊คต้องเสียเงินตลอดระยะเวลาที่เหลือ
แผนสำหรับพอร์ต
คงไม่ต้องทำอะไรกับFacebook, Netflix, Groupon
หรือบริษัทอื่นสำหรับตลาดที่คู่แข่งขันเข้ามาได้ง่ายๆแบบนี้ ลองคิดดูว่าในระยะยาวหุ้นจะอยู่ในขาขึ้นหรือขาลง
ในระยะยาวแล้วอุตสาหกรรมที่เป็นอยู่ในใจ(ของผู้เขียนบทความ)
ได้แก่
-
Consumer Staples เมื่อคิดเกี่ยวกับชื่อที่อยู่ในใจผู้บริโภคเป็นเวลานานอย่าง
โคคาโคล่า(KO ที่ปันผลมาอย่างไม่หยุดยั้งตั้งแต่ปี 1893) McCormick spices(MKC,1929) , Smucker’s jams(SJM,1949)
and Kellogg’s cereals (K, 1923) ซึ่งทุกตัวเป็นหุ้นที่นักลงทุนแบบอนุรักษ์นิยมเหมาะที่จะซื้อในปัจจุบัน (หากหุ้นเพิ่มช้าเกินไป จะไม่เหมาะสำหรับการเล่น Option)
-
Pipeline บริษัทที่ทำท่อส่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ
-
Railroads กำลังจะสร้างรางรถไฟเส้นใหม่ในไม่ช้านี้เพื่อช่วยให้การขนส่งสินค้าทางการเกษตรและถ่านหินจะได้มีต้นทุนที่ถูกลง
-
Utilities
จะมีอะไรดีไปกว่าการที่รัฐการันตีด้วยการให้สัมปทานผูกขาดบริษัทสาธารณูปโภคน้ำและไฟฟ้า
เรื่องน่าตกใจที่ 3 จีน พันธมิตรที่คิดไม่ถึง
เนื่องจากจีนมีนโยบายที่จะส่งออกสินค้าที่ทุกระดับราคาสินค้าไปต่างประเทศ และอเมริกาเองก็เป็นประเทศที่บริโภคเป็นอันดับต้นๆของโลก จีนจึงเข้ามาช่วยซื้อกิจการและอุ้มสหรัฐในหลายๆทาง
แม้ว่าจะเป็นอย่างนั้นแต่หุ้นจีนเองยังต้องเผชิญปัญหากับการแข่งขันขั้นรุนแรง
ปัญหารัฐบาลที่เป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับการตัดสินใจทางธุรกิจในประเทศ
เรื่องน่าตกใจที่ 4 มีข่าวลือว่าตลาดบ้านจะกลับมาอย่างโอ่อ่าจริงหรือ
แทบทุกคนในวัยกลางคนกำลังกังวลเกี่ยวกับปัญหาการว่างงาน
ปัญหาเศรษฐกิจ
และไม่ว่าบ้านในฝันจะถูกแสนถูกแค่ไหนและดอกเบี้ยต่ำเพียงไรก็ไม่สามารถซื้อได้ ปัญหายังคงมีอยู่โดยในขณะนี้
- -
ยอดบ้านขายทอดตลาดในเดือนมิถุนายนสูงถึง 600,000
ยูนิต
-
คนกว่า 3.5 ล้านคนที่สูงวัยกำลังมีปัญหาเรื่องที่หนี้สินที่อยู่อาศัยในตอนน
-
แค่บ้าน 4.4
ล้านหลังที่ถูกขายไปในเดือนมิถุนายน จากยอด 6 ล้านหลัง
และคงอีกสักพักใหญ่กว่าตลาดบ้านจะเริ่มฟื้น
เรื่องน่าตกใจเรื่องที่ 6 ลืมยุโรปไปซะเถอะ สามประเทศนี้อันตรายกว่ามาก
ประเทศที่ว่าได้แก่ เม็กซิโก,ตุรกี และปากีสถาน
เม็กซิโก กำลังมีปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ และรัฐบาลเองมีปัญหาคอรัปชั่นจากภายใน คุณแทบไม่เคยเห็นผมแนะนำให้ซื้อหุ้นของบริษัทเม็กซิกันเลยแม้แต่น้อย
และต่อให้การเลือกตั้งจบลงก็มองไม่เห็นว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนไปได้อย่างใด
ส่วนตุรกีและปากีสถานแย่ยิ่งกว่า
ต่างก็เป็นประเทศที่กำลังจะมีปัญหาต่อต้านรัฐบาลอเมริกันโดยการพยายามขายอาวุธนิวเคลียร์ให้ประเทศที่เกลียดอเมริกัน ซึ่งเรื่องเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ ในไม่ช้าจะจุดชนวนให้อเมริกาเองต้องปกป้องประเทศและความมั่นคงทางด้านพลังงานของสหรัฐ
แผนสำหรับการลงทุน
ให้จับตาหุ้นกลุ่ม (เครื่องบินรบ)Aircraft, missiles(มิสไซส์),
guidance systems (ระบบรักษาความปลอดภัย), space technology(เทคโนโลยีอวกาศ)
โดยเฉพาะการเก็งผลประกอบการ(Earning)ในบริษัทดังกล่าวมานี้
เรื่องน่าตกใจที่ 6 เงินเฟ้อเป็นระเบิดเวลา แต่คุณก็ไม่ควรซื้อทอง
เพื่อแก้ปัญหาเงินฝืดและกระตุ้นเศรษฐกิจ เบน
เบอร์นาเก้ได้ประกาศกดอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้อยู่ที่ระดับ 0.25%และยังขาดดุลงบประมาณกว่า
2 ล้านล้านดอลลาร์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
สิ่งที่ตามมาหลังจากการกดอัตราดอกเบี้ยคือเงินเฟ้อ ซึ่งทำให้หนี้ของสหรัฐเพิ่มขึ้นมากกว่า 60% ในอีก 3
ปีข้างหน้า
แล้วคุณคิดหรือว่าหากจะต้องรีไฟแนนซ์หรือหาเงินมาคืนเจ้าหนี้ เบน
เบอร์นาเก้จะรีไฟแนนซ์ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่สูง
เมื่อเราได้ขาดดุลงบประมาณไปแล้วกว่า 1.3 ล้านล้านเหรียญทุกปี ดอกเบี้ยจึงน่าจะคงตัวต่ำแบบนี้ไปอีกถึงปี
2013? 2014? 2015?
เงินเฟ้อจะทำให้คนที่ถือพันบัตรรัฐบาลและสินทรัพย์ที่มีรายได้คงที่อย่างอื่นเป็นผู้เสียเปรียบ โดยเฉพาะผู้เกษียณอายุที่จะได้รับเงินบำนาญอย่างคงที่ในทุกๆปี และต้องไม่ลืมว่าตลาดพันธบัตรนั้นใหญ่เป็น 3
เท่าของตลาดหุ้น
การที่เงินเฟ้อมากๆจะทำร้ายคนที่ถือพันธบัตรและผู้เกษียณอายุอย่างถึงที่สุด
ทองเป็นคำตอบที่นิยมมากที่สุดสำหรับการปกป้องตัวคุณเองจากการที่เงินเฟ้อขึ้นทุกทีๆ
เมื่อค่าเงินดอลลาร์ลดลง
ทองและโลหะมีค่าอื่นๆจะเพิ่มสูงขึ้น
แต่วิธีที่ดีกว่าการเล่นทองก็คือการเล่นเงิน ซึ่งมูลค่าจะสูงขึ้นกว่าอีกมาก
แผนดูแลพอร์ต
แนะนำให้ซื้อเงินเมื่อราคาต่ำกว่า 20 เหรียญต่อออนซ์(เพราะราคาถูกกว่าทอง) เครื่องมือที่แนะนำคือ ETF : ishares
Silver Trust(SLV) อย่างไรก็ตามคุณสามารถเล่นได้ทั้งเงินและทองในภาวการณ์เช่นนี้
เรียบเรียงจากบทความของ Richard C. Young
บรรณาธิการ, Young’s Intelligence Report
บรรณาธิการ, Young’s Intelligence Report