วันอาทิตย์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2555

รู้หรือยัง? : เรื่องกระทบพอร์ต(ฉบับภาษาไทย)


หมายเหตุ : เรียบเรียงจากบทความ 2 บทความก่อนหน้าที่นำมาลงไว้ค่ะ  ผู้เรียบเรียงนำข้อมูลดังกล่าวมาประกอบการตัดสินใจ  โดยก่อนตัดสินใจลงทุนจะหาข้อมูลเพิ่มเติมทุกครั้งและไม่สามารถรับผิดชอบต่อความผิดพลาดที่เกิดจากการนำข้อมูลไปใช้ในการลงทุนได้  เจ้าของบทความฉบับภาษาอังกฤษแนะนำให้ซื้อตัวหุ้นหรือกองทุนไม่ใช่การแนะนำให้ลงทุนในออปชั่น  โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านและคำนวณถึงค่าTimeที่ท่านจะสูญเสียจากการถือระยะยาวอย่างรอบคอบค่ะ

เรื่องน่าตกใจที่ 1 ประธานาธิบดีคนต่อไปคือ
มิท รอมนีย์(Mitt Romney)
รอมนีดูจะเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวเพราะได้รับการสนับสนุนด้านเงินทุน  ไม่เหมือน จอน แมคแคน ที่ใช้งบหาเสียง 360 ล้านขณะที่โอบาม่าใช้เงินกว่า 760ล้านเหรียญ หรือมากกว่าสองเท่าของแมคเคน  รอบนี้เราคาดว่ารอมนีคงจะใช้เงินหาเสียงหลักพันล้าน ขณะที่โอบาม่านั้นมีปัญหาในการหาเงินซะแล้ว  เนื่องจากเหตุผลหลายประการ หนึ่งในนั้นคืออัตราว่างงานและบ้านกลายเป็นหายนะที่ทำลายความเชื่อมั่นของผู้บริโภค  ประเทศถูกลดอันดับความเชื่อถือจาก AAA

แผนสำหรับพอร์ต  รอมนีน่าจะยกเลิกแผนสุขภาพ และสนับสนุนฝ่ายทุนเสรี

เรื่องน่าตกใจที่ 2 IPO เฟซบุ๊คตกไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ

เหตุผลเพราะ
-          ความภักดีที่มีต่อแบรนด์เฟซบุ๊คตกลง  เนื่องจากการที่ต้องปกป้องความเป็นส่วนตัว  กว่า 40%ของบัญชีเฟซบุ๊คจึง คาดว่าถูกสร้างมาจากสแปม  ลองคิดว่ารายได้ที่จะเกิดจากบัญชีคนเปิดเฟซบุ๊คตัวจริงที่แท้แล้วจะน้อยกว่าที่คาดไว้สักเท่าใด
-          มีกำแพงกั้นไม่ให้คู่แข่งเข้ามาทำธุรกิจสู้FBได้ง่ายๆจริงหรือ  แค่เพียงเดือนเดียวหลังการเสนอขายหุ้นให้ประชาชนครั้งแรก(IPO) ซัคเคอเบิร์คต้องจ่ายเงิน 1พันล้านเหรียญให้บริษัทอินสตราแกรม  ที่มีอายุเพียง 18 เดือนและมีพนักงานแค่ 11 คน  โดยบริษัทนี้ทำแอปพลิเคชั่นสำหรับการแชร์รูปภาพ  และแม้ว่าวิศวกรของเฟซบุ๊คจะพยายามจะสร้างโปรแกรมที่เลียนแบบออกมาเพื่อแข่งแล้ว  แต่ผู้ใช้อินสตาแกรมมีผู้ใช้มากว่า 30 ล้านเสียแล้ว  และเดาได้ว่าจะมีบริษัทอีกมากที่จะออกมาให้เฟซบุ๊คต้องเสียเงินตลอดระยะเวลาที่เหลือ
แผนสำหรับพอร์ต
คงไม่ต้องทำอะไรกับFacebook, Netflix, Groupon หรือบริษัทอื่นสำหรับตลาดที่คู่แข่งขันเข้ามาได้ง่ายๆแบบนี้  ลองคิดดูว่าในระยะยาวหุ้นจะอยู่ในขาขึ้นหรือขาลง

ในระยะยาวแล้วอุตสาหกรรมที่เป็นอยู่ในใจ(ของผู้เขียนบทความ) ได้แก่
-          Consumer Staples เมื่อคิดเกี่ยวกับชื่อที่อยู่ในใจผู้บริโภคเป็นเวลานานอย่าง โคคาโคล่า(KO ที่ปันผลมาอย่างไม่หยุดยั้งตั้งแต่ปี 1893) McCormick  spices(MKC,1929) , Smucker’s jams(SJM,1949) and Kellogg’s cereals (K, 1923)  ซึ่งทุกตัวเป็นหุ้นที่นักลงทุนแบบอนุรักษ์นิยมเหมาะที่จะซื้อในปัจจุบัน  (หากหุ้นเพิ่มช้าเกินไป จะไม่เหมาะสำหรับการเล่น Option)
-          Pipeline  บริษัทที่ทำท่อส่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ
-          Railroads กำลังจะสร้างรางรถไฟเส้นใหม่ในไม่ช้านี้เพื่อช่วยให้การขนส่งสินค้าทางการเกษตรและถ่านหินจะได้มีต้นทุนที่ถูกลง
-          Utilities จะมีอะไรดีไปกว่าการที่รัฐการันตีด้วยการให้สัมปทานผูกขาดบริษัทสาธารณูปโภคน้ำและไฟฟ้า


เรื่องน่าตกใจที่ 3  จีน  พันธมิตรที่คิดไม่ถึง

เนื่องจากจีนมีนโยบายที่จะส่งออกสินค้าที่ทุกระดับราคาสินค้าไปต่างประเทศ  และอเมริกาเองก็เป็นประเทศที่บริโภคเป็นอันดับต้นๆของโลก  จีนจึงเข้ามาช่วยซื้อกิจการและอุ้มสหรัฐในหลายๆทาง  แม้ว่าจะเป็นอย่างนั้นแต่หุ้นจีนเองยังต้องเผชิญปัญหากับการแข่งขันขั้นรุนแรง ปัญหารัฐบาลที่เป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับการตัดสินใจทางธุรกิจในประเทศ

เรื่องน่าตกใจที่ 4 มีข่าวลือว่าตลาดบ้านจะกลับมาอย่างโอ่อ่าจริงหรือ

แทบทุกคนในวัยกลางคนกำลังกังวลเกี่ยวกับปัญหาการว่างงาน ปัญหาเศรษฐกิจ  และไม่ว่าบ้านในฝันจะถูกแสนถูกแค่ไหนและดอกเบี้ยต่ำเพียงไรก็ไม่สามารถซื้อได้  ปัญหายังคงมีอยู่โดยในขณะนี้
-                  -   ยอดบ้านขายทอดตลาดในเดือนมิถุนายนสูงถึง 600,000 ยูนิต
 -  คนกว่า 3.5 ล้านคนที่สูงวัยกำลังมีปัญหาเรื่องที่หนี้สินที่อยู่อาศัยในตอนน
 -   แค่บ้าน 4.4 ล้านหลังที่ถูกขายไปในเดือนมิถุนายน จากยอด 6 ล้านหลัง
และคงอีกสักพักใหญ่กว่าตลาดบ้านจะเริ่มฟื้น

เรื่องน่าตกใจเรื่องที่ 6 ลืมยุโรปไปซะเถอะ สามประเทศนี้อันตรายกว่ามาก 

ประเทศที่ว่าได้แก่ เม็กซิโก,ตุรกี และปากีสถาน
เม็กซิโก กำลังมีปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ  และรัฐบาลเองมีปัญหาคอรัปชั่นจากภายใน  คุณแทบไม่เคยเห็นผมแนะนำให้ซื้อหุ้นของบริษัทเม็กซิกันเลยแม้แต่น้อย  และต่อให้การเลือกตั้งจบลงก็มองไม่เห็นว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนไปได้อย่างใด

ส่วนตุรกีและปากีสถานแย่ยิ่งกว่า  ต่างก็เป็นประเทศที่กำลังจะมีปัญหาต่อต้านรัฐบาลอเมริกันโดยการพยายามขายอาวุธนิวเคลียร์ให้ประเทศที่เกลียดอเมริกัน  ซึ่งเรื่องเล็กๆน้อยๆเหล่านี้  ในไม่ช้าจะจุดชนวนให้อเมริกาเองต้องปกป้องประเทศและความมั่นคงทางด้านพลังงานของสหรัฐ

แผนสำหรับการลงทุน
ให้จับตาหุ้นกลุ่ม (เครื่องบินรบ)Aircraft, missiles(มิสไซส์), guidance systems (ระบบรักษาความปลอดภัย), space technology(เทคโนโลยีอวกาศ)  โดยเฉพาะการเก็งผลประกอบการ(Earning)ในบริษัทดังกล่าวมานี้

เรื่องน่าตกใจที่ 6  เงินเฟ้อเป็นระเบิดเวลา  แต่คุณก็ไม่ควรซื้อทอง

เพื่อแก้ปัญหาเงินฝืดและกระตุ้นเศรษฐกิจ เบน เบอร์นาเก้ได้ประกาศกดอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้อยู่ที่ระดับ 0.25%และยังขาดดุลงบประมาณกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ  สิ่งที่ตามมาหลังจากการกดอัตราดอกเบี้ยคือเงินเฟ้อ  ซึ่งทำให้หนี้ของสหรัฐเพิ่มขึ้นมากกว่า 60% ในอีก 3 ปีข้างหน้า  แล้วคุณคิดหรือว่าหากจะต้องรีไฟแนนซ์หรือหาเงินมาคืนเจ้าหนี้  เบน เบอร์นาเก้จะรีไฟแนนซ์ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่สูง  เมื่อเราได้ขาดดุลงบประมาณไปแล้วกว่า 1.3 ล้านล้านเหรียญทุกปี   ดอกเบี้ยจึงน่าจะคงตัวต่ำแบบนี้ไปอีกถึงปี 2013? 2014? 2015?

เงินเฟ้อจะทำให้คนที่ถือพันบัตรรัฐบาลและสินทรัพย์ที่มีรายได้คงที่อย่างอื่นเป็นผู้เสียเปรียบ  โดยเฉพาะผู้เกษียณอายุที่จะได้รับเงินบำนาญอย่างคงที่ในทุกๆปี  และต้องไม่ลืมว่าตลาดพันธบัตรนั้นใหญ่เป็น 3 เท่าของตลาดหุ้น การที่เงินเฟ้อมากๆจะทำร้ายคนที่ถือพันธบัตรและผู้เกษียณอายุอย่างถึงที่สุด  ทองเป็นคำตอบที่นิยมมากที่สุดสำหรับการปกป้องตัวคุณเองจากการที่เงินเฟ้อขึ้นทุกทีๆ
เมื่อค่าเงินดอลลาร์ลดลง  ทองและโลหะมีค่าอื่นๆจะเพิ่มสูงขึ้น  แต่วิธีที่ดีกว่าการเล่นทองก็คือการเล่นเงิน  ซึ่งมูลค่าจะสูงขึ้นกว่าอีกมาก

แผนดูแลพอร์ต
แนะนำให้ซื้อเงินเมื่อราคาต่ำกว่า 20 เหรียญต่อออนซ์(เพราะราคาถูกกว่าทอง)  เครื่องมือที่แนะนำคือ ETF : ishares Silver  Trust(SLV) อย่างไรก็ตามคุณสามารถเล่นได้ทั้งเงินและทองในภาวการณ์เช่นนี้ 

เรียบเรียงจากบทความของ Richard C. Young
บรรณาธิการ, Young’s Intelligence Report

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น