ตั้งใจว่าจะนำบทความสำหรับการเล่นหุ้นมาให้อ่านกันเรื่อยๆเท่าที่มีเวลาค่ะ
เอ้าไม่เกริ่นกันนานมาอ่านกันเลยดีกว่า
หากอยากเป็นนักลงทุนแล้ว สิ่งที่จำเป็นต้องรู้ก่อนคนอื่นก็คือการเตรียมตัวให้พร้อม
สำหรับโอกาสครั้งใหญ่ๆในชีวิต โดยว่ากันว่าในช่วงที่เศรษฐกิจของโลกดิ่งดำเหว
คนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือคนจนและคนชนชั้นกลาง
ในขณะที่เศรษฐีที่เตรียมพร้อมกลับยิ่งรวยขึ้นไปอีก ดังนั้นหากอยากรวย
สิ่งที่ต้องจับตามองเพื่อรอโอกาสนั้นก็ได้แก่ เทรนด์ดังต่อไปนี้ค่ะ
โดยเทรนด์เหล่านี้นำมาจากนักเขียนพ่อรวยสอนลูก โรเบิร์ต คิโยซากิ
1.ลักษณะประชากร
ในศตวรรษที่ 19 นักปรัชญาฝรั่งเศสพูดไว้ว่า "เหตุผลที่ผมกระหายอยากลงทุนใน
อสังหาริมทรัพย์ของประเทศสหรัฐอเมริกา ถึงแม้ว่ามันจะมีทั้งช่วงขาขึ้นและขาลง
ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ก็เพราะสหรัฐฯมีจำนวนประชากรที่กำลังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ"
และไม่เพียงแต่แนวโน้มประชากรที่เพิ่มขึ้นเท่านั้นที่เราต้องใส่ใจ
แต่ยังมีลักษณะการอยู่อาศัยของคนในปัจจุบันที่อยู่คนเดียวมากขึ้น
มีบ้านหลายหลังมากขึ้น(ในรูปของคอนโด)
และมีคนชรามากขึ้น อสังหาริมทรัพย์จึงเปลี่ยนแปลงไปด้วย
ในหนังสือมองว่าปี 2025 อสังหาริมทรัพย์ในสรัฐยังมีโอกาสโตได้อีก
เพราะจำนวนประชากรยังโตขึ้นเรื่อยๆ เอ้า จะเป็นอย่างไรมาติดตามกันค่ะ
2.หนี้
เนื่องจากเงินสหรัฐไม่มีทองคำหนุนหลังตั้งแต่ประธานาธิบดีนิสักประกาศยกเลิกระบบทองคำ แต่พันธบัตรของสหรัฐอเมริกามีสภาพเป็นหนี้ หนี้ที่เป็นสินทรัพย์ที่ถูกต้องตามกฎหมายของรัฐบาลสหรัฐ โดยหนี้ที่ต้องจับตามองนั้นได้แก่สัดส่วนหนี้สินต่อครัวเรือนที่คิดเป็น % เมื่อเทียบกับ GDP โดยเขาเขียนหนังสือเล่มนี้ราวๆปี 2003-2005 แต่โรเบิร์ตกลับพยากรณ์ได้อย่างแม่นยำ ว่าถ้ามีปัญหาด้านหนี้ สหรัฐก็แค่พิมพ์เงินให้มากขึ้นสิ โดยเมื่อเงินเฟ้อมากๆจากการพิมพ์เงินคนที่เป็นหนี้จะชนะ ส่วนผู้ออมจะแพ้(เพราะเงินจะด้อยค่าลง) ในทางตรงกันข้าม หากเงินฝืด ราคาสินทรัพย์จะตกลงฮวบฮาบ เช่นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศอาเจนตินาร์ค่ะ
ส่วนประกอบหนี้ของสหรัฐคิดเป็นสัดส่วนของGDP จากวีกิพีเดียen |
จากภาพจะเห็นว่าหนี้สหรัฐพุ่งสูงขึ้นทุกปีๆ และทำพีคในปี 2008 ซึ่งเป็นปีที่เกิดวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ค่ะ
โดยหนี้นั้นเกิดมาจากการใช้จ่ายของประชาชนสหรัฐ การขาดดุลการค้า และการใช้จ่ายของรัฐบาลที่นำเงินไปจ่ายค่าสวัสดิการต่างๆให้ประชาชนแบบเกินตัว จึงทำให้หนี้พอกพูนกันทุกปี และเกิดปัญหาดังกล่าวในที่สุด
3.อัตราดอกเบี้ย
หัวข้อนี้แทบไม่ต้องอธิบายถึงความสำคัญเลยทีเดียว เพราะหากดอกเบี้ยสูงนั้นจะทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงจากการที่ธุรกิจไม่อยากยืมเงินมาลงทุนขยายกิจการ เพราะว่าแค่เอาเงินไปฝากธนาคารก็สบายแทบไม่ต้องทำอะไรแล้ว แถมดอกเบี้ยที่สูงนั้นทำให้ต้นทุนทางธรุกิจสูงตาม กำไรที่ได้ก็ต้องแบ่งไปคืนเจ้าหนี้กันหมดอยู่เฉยๆสบายกว่าค่ะ การขึ้นอัตราดอกเบี้ยจึงนิยมทำในช่วงที่เศรษฐกิจร้อนแรงเกินไปนั่นเอง
ช่วงนี้ดอกเบี้ยต่ำติดดิน เนื่องจากรัฐบาลทั่วโลกกำลังกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งนี้และทั้งนั้น เวลารัฐบาลประเทศไหนลดดอกเบี้ยมากๆ แปลว่าเศรษฐกิจร่อแร่เต็มที่ เวลามีประกาศลดดอกเบี้ยจึงส่งผลลบต่อตลาดหุ้นได้ค่ะ และการที่ดอกเบียต่ำๆนั้น คนจะไม่อยากฝากเงินในธนาคาร ไม่อยากซื้อพันธบัตร
แต่จะเอาเงินมาลงทุนทำธุรกิจ และเล่นหุ้นกันแทน แหมเท่านี้ก็คงพอเกิดภาพในใจนักเล่นหุ้น
ว่าทำไมอัตราดอกเบียถึงกระเทือนกับตลาดหุ้นกันนักหนากันแล้ว
4.นำหน้าหรือล้าสมัย
ข้อนี้จะเอามาตีโจทย์ได้ว่า หุ้นที่คุณกำลังเลือกเล่นนั้นจะมีโอกาสขึ้นเป็นกระทิงได้ หรือแค่ขึ้นสั้นๆเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น หากคนเกิดในยุคเบเบี้บูมเมอร์(เกิดหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือราว 1950s) กำลังจะเข้าสู่วัยเกษียณ และในความเป็นจริงคือคนกลุ่มนั้นเงินจากการลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจะไม่พอใช้ ความต้องการศึกษาด้านการเงินมีแต่จะเพิ่มขึ้นในไม่ช้า เขาจึงหยิบจับทำธุรกิจให้คำปรึกษาด้านการเงินขึ้นมาค่ะ ในหนังสือยังวิจารณ์ด้วยว่าธุรกิจที่อิ่มตัวแล้ว ได้แก่ ธุรกิจยานตร์และการบิน เป็นต้น
ใครถือหุ้นตัวไหนแล้วมองเทรนด์ให้ดีๆค่ะ หุ้นจะขึ้นหรือจะไซด์เวย์ก็วัดกันตรงนี้ล่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น